บัวฝ้า
บัวฝ้า (Cornice/Crown Moulding) คือวัสดุที่ใช้ติดตั้งบริเวณรอยต่อระหว่างผนังกับเพดาน นอกจากจะช่วยซ่อนรอยแตกหรือร่องระหว่างผนังกับฝ้าให้ดูเรียบร้อยแล้ว ยังเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยปรับ "อารมณ์" ของห้องได้ชัดเจน
1. วัสดุของบัวฝ้าที่นิยม
โพลียูรีเทน (PU): เป็นที่นิยมมากที่สุดในงานตกแต่งระดับพรีเมียม เพราะน้ำหนักเบา มีลวดลายคมชัด (สไตล์หลุยส์หรือคลาสสิก) และปลวกไม่กิน
โพลีสไตรีน (PS): ราคาประหยัดกว่า PU น้ำหนักเบา ติดตั้งง่าย มักมีสีสำเร็จรูปมาให้เลย (เช่น สีขาว สีไม้ สีทอง)
ไม้จริง: ให้ความคลาสสิกและเป็นธรรมชาติมากที่สุด แต่ต้องระวังเรื่องปลวกและการยืดหดตัว
ยิปซั่ม: มักใช้ในงานโครงการขนาดใหญ่หรืองานปูนปั้นแบบดั้งเดิม ราคาถูกแต่มีน้ำหนักมากและแตกหักง่าย
อลูมิเนียม: มักใช้ในงานสไตล์ Modern หรือ Loft เพื่อความโฉบเฉี่ยว ทนทานสูงมาก และไม่เป็นสนิม
2. ขนาดบัวฝ้ากับความสูงห้อง
การเลือกขนาดหน้ากว้างของบัวฝ้ามีความสำคัญมาก เพื่อไม่ให้ห้องดูเตี้ยหรือดูจืดชืดเกินไป:
เพดานสูงไม่เกิน 2.5 เมตร: ควรใช้บัวขนาดเล็ก หน้ากว้างประมาณ 2 - 3 นิ้ว (5 - 7.5 ซม.) เพื่อไม่ให้ห้องดูอึดอัด
เพดานสูงมาตรฐาน 2.6 - 3.0 เมตร: ใช้ขนาดกลาง หน้ากว้างประมาณ 3 - 4 นิ้ว (7.5 - 10 ซม.)
เพดานสูงพิเศษ (Double Volume): สามารถใช้ขนาดใหญ่ 5 นิ้วขึ้นไป หรือใช้บัวเล่นระดับหลายชั้นได้
3. สไตล์ของบัวฝ้า
สไตล์โมเดิร์น (Modern): มักเป็นบัว "หน้าเรียบ" หรือบัวที่มีเส้นสายเรียบง่าย (Minimal) เพื่อความสะอาดตา
สไตล์คลาสสิก (Classic): มักมีลวดลายแกะสลัก ลายดอกไม้ หรือลายหลุยส์ ช่วยให้ห้องดูหรูหราเหมือนบ้านยุโรป
สไตล์คอนเทมโพรารี (Contemporary): เป็นลูกผสม คือมีลวดลายบ้างแต่ไม่ซับซ้อนเกินไป เข้าได้กับเฟอร์นิเจอร์หลายแบบ
4. อุปกรณ์ติดตั้งบัวฝ้า
กาวตะปู หรือ กาว PU: ใช้ยึดตัวบัวเข้ากับฝ้าและผนัง
เครื่องตัดองศา (Miter Saw): จำเป็นมากสำหรับการเข้ามุม 45 องศาที่เพดาน เพื่อให้รอยต่อแนบสนิท
แด๊ป (Acrylic Sealant): ใช้เก็บรอยต่อระหว่างบัวกับฝ้าและบัวกับผนังให้เป็นเนื้อเดียวกัน
สีรองพื้นและสีจริง: สำหรับแต้มรอยต่อหรือทาทับบัว (ในกรณีที่เป็นบัวแบบต้องทำสีเอง)
กรุณาเข้าสู่ระบบหรือสมัครสมาชิก
เพื่อเพิ่มรายการโปรดของคุณ